วันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ราชสีห์





กล่าวกันว่า ราชสีห์จะก้าว 3 ถอย 1 ก่อนกระโจน (จะใช้พลังเท่ากัน ไม่ว่าจะจับสัตว์เล็กหรือโจมตีสัตว์ดุร้าย) ทุกการสนทนาที่เราเข้าร่วมกับผู้อื่น เป็นโอกาสตัดสินความสำเร็จของการเผยแผ่ธรรมไพศาล จงเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตใจที่ท้าทาย ให้เหมือนราชสีห์ ขอให้ทำอย่างดีที่สุดเมื่อโอกาสมาถึง
จงช่วยให้ประชาชนจำนวนมากมีความสัมพันธ์กับ พุทธธรรม ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยความร่าเริง ยินดี และจิตใจเร่าร้อน ผู้ซึ่งมอบพุทธธรรมและปรัชญานี้ให้แก่ผู้อื่น (ไม่ว่าเขาจะตอบสนองอย่างไรก็ตาม) คือผู้มีชัยชนะที่แท้จริง ขอให้ดอกไม้แห่งความสุขเบ่งบานในจิตใจของแต่ละคน 



สิ่งสำคัญในการให้กำลังใจคน ๆ หนึ่ง




การฟังอย่างตั้งใจในสิ่งที่เขาพูดจนกว่าเขาจะแก้ไขปัญหาหรือความกังวลของเขาได้สิ่งสำคัญคือเราควรจะติดตามเขาอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สวดมนต์ และลงมือกระทำร่วมกับเขา ขอให้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในการชี้นำบุคคล ราเข้าสู่เดือนที่สำคัญวันสำคัญทางพุทธศาสนา วิสาขบูชา(โลก) จงเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต ขอให้ทุ่มเทตัวเราเองอย่างอาจหาญวิริยะ ขอให้เริ่มต้นยุคใหม่อย่างสมบูรณ์ในกิจกรรมของเรา
แก่นสารของการปฏิบัติพุทธธรรมของเราในที่สุดแล้ว อยู่ที่พฤติกรรมในฐานะมนุษย์ ขอให้ถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะแสดงความขอบคุณต่อครอบครัวสมาชิกของเรา (แม้พวกเขาจะยังไม่ได้ปฏิบัติศรัทธา) ที่ให้การสนับสนุนในการปฏิบัติของเราด้วยวิธีต่าง ๆ อยู่เสมอ ขอให้เป็นผู้ฉลาด เป็นคนที่มีความเป็นมนุษย์ ผู้ซึ่งเพียรพยายามทุกอย่างเท่าที่เป็นไปได้ เพื่อสร้างครอบครัวที่สามัคคีกลมเกลียวกันอย่างมีความสุข

ชุมชนท้องถิ่นของเรา




บรรดาความอิ่มทั้งหลาย



พระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์



คนผู้ถูกอวิชชาหุ้มห่อไว้พรากจาก{สัทธรรม}

จักเสวยแต่สงสาร คือ ชาติและมรณะสิ้นกาลนาน

ส่วนชนเหล่าใดได้อัตภาพเป็นมนุษย์แล้ว

เมื่อพระตถาคตประกาศสัทธรรม

ได้กระทำแล้วจักกระทำหรือกระทำอยู่

ตามพระดำรัสของพระศาสดา

ชนเหล่านั้นชื่อว่าได้ประสบขณะคือ....................

การประพฤติพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยมในโลก


พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย อัฏฐกนิบาตเล่ม ๔ - หน้าที่ ๔๕๔


วันนี้ได้ไปถ่ายภาพและนำบุญมาฝากทุก ๆ คน ภาพพระอวโลิเตศวรมหาโพธิ์สัตว์ พระองค์ยังคงสดับฟังเสียงความทุกข์ของเหล่าเวไนยอยู่

ที่ประเทศญี่ปุ่นเกิดสึนามิวันนี้{บางครั้ง}จึงขอทำความดีสักครั้งภาพเหล่าทุก ๆ ท่านสามารถดาวน์โหลดได้ตามอัทยาศัย

ทำดี - ได้ดี - ทำชั่วได้ชั่ว

File ใหญ่ 10 ล้าน P.X

ลิงค์ดาวโหลด.............http://www.4shared.com/photo/-T2eyIoE/IMG_0053.html

ภาพเหล่านี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ พระแม่กวนอิมพระมหาโพธิสัตว์ได้ผ่านการเบิกพระเนตรแล้วท่านสามารถดาวน์โหลดไปบูชาได้

จงงดเว้นการบริโภคเนื้อสัตว์ทุกชนิด{หากทำได้ - ทำได้เท่าที่ทำได้}หมั่นสวดพระนามพระองค์ท่าน นำโม กวงซีอิมผ่อสัก

......................................มัชฌิมประภาสปุญสถาน.........................

ขอ บุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้กระทำนี้จงเป็นปัจจัยเกื้อหนุนสรรพชีวิตทั้งหลายให้ ได้บำเพ็ญอนุตรวิถี กลับจิตแปรใจ ได้คืนจิตเดิม มีความสงบเย็นใจกาย ปราศจากเสียซึ่งสรรพกำทุกข์ ปลอดพ้นจากภัยเวร สงครามข้าวยาก ด้วยเดชะบุญนี้ จงช่วยค้ำชูบิดา - มารดา ครูบาอาจารย์ - ผู้มีพระคุณ ญาติสนิท - มิตรรัก ศัตรูหมู่มาร สรรพเจ้ากรรมนายเวร เทวาทุกชั้นฟ้า อารักษ์ทั่วชั้นดิน เหล่าภูติ นาคา - นาคี เหล่าวิญญา - หมู่เปรต - อสูรกายเหล่าสัตว์ใด ๆ จงเป็นผู้ได้รับอานิสงค์เดชะแห่งผลบุญนี้ท่วนทั่วทุกคน เทอญ......................



....................Sometimeได้ทำหน้าที่ของ Sometime ให้ดีที่สุดแล้ว..................

สิ่งใดจะเกิดมันก็ต้องเกิดสึนามิเหรอ ? มาเลย SomeTime พร้อมแล้วที่จะไปกับสึนามิ

หมายเหตุ.........ถ้าต้องการนำไปบูชาหรือเผยแพร่ควรสวดมนต์มหากรุณาธารณีสูตรหรือฝึกหัดสวดมนต์เป็นเนืองนิตจ์

และควรเก็บไว้ในที่อันควร หมั่นสวดพระนามพระองค์ท่านอยู่เป็นเนืองนิตจ์แล้วขอพรจากท่านงดเว้นเนื้อสัตว์เป็นบางวันขออนุโมทนาล่วงหน้า


นำโม กวงซีอิมผ่อสัก

นำโม กวงซีอิมผ่อสัก

นำโม กวงซีอิมผ่อสัก


ปฏิจจสมุปบาท(คัดบางส่วนมา)



ผู้ที่เข้าใจ ปฏิจจสมุปบาท, อาจกล่าวได้ว่า อวิชชา คือความไม่รู้ ไม่เข้าใจ ไม่แทงตลอดในการดับทุกข์ ซึ่งฝังแน่นลงรากลึกอยู่ในจิต และไม่สามารถมองเห็นได้ในปุถุชน และเป็นต้นกําเนิดของความทุกข์ ทั้งหลายทั้งปวง อวิชชาเกิดจาก ปัจจัยอันมีอาสวะกิเลสที่เกิดจากความทุกข์และสุขทั้งหลายที่ทิ้งผลร้ายหรือ แผลเป็นเอาไว้ อันทําให้จิตขุ่นมัว และเศร้าหมอง เป็นตัวกระตุ้น เร่งเร้า กล่าวคือเป็นเหตุเป็นปัจจัยร่วมกันกับอวิชชา คือเมื่อไม่รู้ในความเป็นจริง กล่าวคือ จึงไป ยึดอาสวะกิเลสนั้นว่าเป็น เราของเราอยู่ลึกๆในจิต จึงไปขุ่นมัวเศร้าหมอง หรือเต้นไปตามอาสวะกิเลสนั้นๆ อาสวะกิเลส เหล่านี้อันมี


. โสกะ ความโศก โศรกเศร้า แห้งใจ หดหู่ใจ โศรกเศร้าจากการเสื่อมหรือสูญเสียต่าง ๆ เช่น โศกเศร้าของผู้ที่เสื่อมสุข เสื่อมญาติ เสื่อมทรัพย์ เสื่อมเกี่ยวด้วยโรค เสื่อมศีล เสื่อมทิฏฐิ เสื่อมยศ ฯลฯ.
๒. ปริเทวะ ความครํ่าครวญ โหยหา รํ่าไรรําพัน พิรี้พิไรรําพัน อาการของความอาลัยอาวรณ์คิดคํานึงถึงในสุขหรือทุกข์ในอดีตที่เสื่อมหรือสูญเสียไปแล้ว เช่นโหยหา อาลัย, ครํ่าครวญถึงสุข, ความสนุก, ญาติ, ทรัพย์, เกียรติ ฯลฯ.ที่เสื่อมหรือดับไปแล้วแต่อดีต อันอยากให้เกิด หรือไม่อยากเกิดขึ้นอีก
 ๓. ทุกข์ ความทุกข์ทางกาย ความไม่สบายกายทั้งหลาย ความจดจําได้ ความกลัว ในความเจ็บปวด ความป่วยไข้ การบาดเจ็บ
๔. โทมนัส เศร้าใจ เสียใจ ความทุกข์ทางจิต ความไม่สําราญทางจิต อารมณ์ไม่ดีเป็นทุกข์ หดหู่ เศร้าหมอง เกิดแต่ไม่ได้ตามใจปรารถนา
๕. อุปายาส ความขุ่นเคือง คับแค้นใจ ขุ่นข้อง เช่น ความโกรธ ความอาฆาต พยาบาท ขุ่นเคือง หรือเกิดจากความคับแค้นใจหรือถูกเบียดเบียน รังแก เอาเปรียบ หรือไม่ได้ดังใจปรารถนา อาสวะกิเลสที่ เกิดจากความทุกข์เหล่านี้ที่หมักหมม นอนเนื่อง ซึมซ่าน ย้อมจิต เป็นตัวกระตุ้น เร่งเร้า ขับไส ผลักดันเป็น เหตุเป็นปัจจัยแก่กัน และกันร่วมกับอวิชชาความไม่รู้ตามความเป็นจริง กระตุ้นสังขารให้ผุดขึ้นหรือเจตนาขึ้นมาอัน เป็นเหตุปัจจัยอันก่อให้เป็นทุกข์ ปล่อยให้เป็นไปจนเป็นทุกข์ตามขบวนการเกิดของทุกข์ในปฏิจจสมุปบาท(ดูภาพ การเป็นเหตุปัจจัยร่วมกัน) อันจักหมุนดําเนินต่อไปไม่รู้จักจบ จักสิ้น เนื่องจาก ความไม่รู้ ไม่เข้าใจจึงหยุดวงจร แห่งทุกข์นั้นไม่ได้, และเหล่าอาสวะกิเลส เหล่านี้จะหมักหมม นอนเนื่องอยู่ในจิต 

ตามปกติจะมองไม่เห็นเช่น โกรธเกลียดใครอยู่คนหนึ่ง และไม่พบกันเป็นเวลานานๆ เมื่อกาลเวลาผ่านไป เป็นเวลาหลายปีเมื่อมาเจอกันอีก อาสวะกิเลส(อุปายาส-ความขุ่นข้อง คับแค้นใจ)ที่นอนเนื่องสงบอยู่ จนไม่เคยคิดว่ายังมีอยู่ จะเกิดขึ้นทันที เปรียบได้ดั่งนํ้าที่แลดูใสสะอาดแต่ มีตะกอนนอนก้นอยู่ เมื่อมีสิ่งใดมากวนก็จะฟุ้งกระจายขึ้นมาแสดงความไม่บริสุทธิ์ให้เห็นทันที แต่มันไม่จบแค่นั้น มันร่วมเป็นปัจจัยกับอวิชชาความไม่รู้ให้ทํางานเริ่มวงจรของทุกข์...เริ่มสังขารในปฏิจจสมุปบาท เช่นความคิดที่เป็นทุกข์ ก่อทุกข์ใหม่ขึ้นอีกครั้ง ให้เป็นไปตามวงจรปฏิจจสมุปบาทอีก, นอกจากตกตะกอนนอนเนื่องแล้ว ยังมีแขวนลอยเป็นเชื้อโรคอยู่ในจิตเฉกเช่นเดียวกับนํ้า ที่มีทั้งแขวนลอยและตกตะกอน อาการพวก
แขวนลอยได้แก่มีอาการหดหู่ หงุดหงิดมีโทสะกรุ่นๆโดยที่ไม่ทราบสาเหตุ ขุ่นมัว เศร้าหมอง มักไม่เห็นเหตุที่เกิด นอกจากใช้ตาปัญญาเท่านั้น อาการอย่างนี้เป็นได้นานๆมาก ล้วนเป็นผลมาจากพิษภัยอันร้ายกาจของอาสวะกิเลส และเพราะอาสวะกิเลสนั้นก็เป็นสภาวะธรรมชาติที่เกิดจากความจํา(สัญญา)ดังนั้นจึงคงมีอยู่อันเป็นสภาวะธรรม(ชาติ), เราจึงจําเป็นต้องมีวิชชาไม่ปล่อยไปตามอาสวะกิเลสนั้นๆ จนกว่าจักสิ้นอาสวะกิเลส(หมายถึงดับกิเลสโดยสัญญาจํายังมีอยู่ แต่ไม่มีผลใดๆต่อสภาวะจิตใจเนื่องจากเข้าใจสภาวะธรรมระดับสูงสุดแล้ว)เป็นการถาวร ดั่งนี้ท่านคงเห็นแล้วอวิชชาความไม่รู้ตามความเป็นจริงแห่งธรรม(ชาติ)นั้นเป็นตัวสําคัญที่สุด เข้าใจยาก กําจัดยาก พระพุทธองค์จึงทรงจัดไว้ลําดับสุดท้ายใน สังโยชน์ ๑๐ (ธรรมที่มัดสัตว์ไว้กับทุกข์)ที่ต้องกําจัดก่อนถึงนิโรธ


วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

บัณฑิตผู้รู้

PB300004 (Copy)

เมื่อกล่าวถึง



อัตตชีวประวัติบางส่วนของท่าน พุทธทาส





สมัยนั้นอาจารย์ไปกรุงเทพฯ เดินทางอย่างไร ถ้าไปเรือ ไปลงเรือไฟที่บ้านดอนเสีย ๖ บาท ถ้ารถไฟที่ไชยา รถไฟธรรมดารวดเดียวถึง ๑๖ บาท เรือไฟต้องค้างคืนในทะเลคืนหนึ่ง ขาไปมักไปรถไฟ ถ้ากลับออกมามักมาเรือแล้วขึ้นกรุงเทพฯ คราวนี้เรียนกับเที่ยวเท่า ๆ กัน ผมไปโรงเรียนอยู่ไม่กี่วันหรอก ไม่ชอบ เลยขอเรียนกับท่านพระครูชยาภิวัติ ขอให้ท่านช่วยสอนให้เวลากลางคืนที่กุฏิไปเรียนกับเขามันไม่สนุก มันไม่ทันใจ สอนอืดอาด เพราะต้องรอเด็กที่โง่ซึ่งอยู่ชั้นเดียวกัน ทีนี้พอจะเข้าสอบไล่ ท่านพระครูชยาภิวัติก็ใช้อิทธิพลของท่าน ผมเลยได้เข้าสอบไล่ทั้งที่ไม่ได้ไปโรงเรียน เพราะแกมีอิทธิพลเหนือครูเหล่านั้น
ทุกคน ก็ครูเหล่านั้นเคยเป็นลูกศิษย์ของท่านนี่ (หัวเราะเบา ๆ) ท่านสอนผมเป็นพิเศษทุกคืน รวมกับพระเณรอีก ๔-๕ รูปอาจารย์ครับ อาจารย์อยู่พุมเรียงไชยาเป็นที่ยอมรับกันมาก พอขึ้นไปกรุงเทพฯ นี่ไม่ตัวลีบลงหรือครับถูกแล้ว พอไปอยู่กรุงเทพฯ ตัวเล็กลงไปเป็นกอง (ฮะ ๆ ๆ) ที่บ้านนอกนี่ตัวใหญ่ เราก็ยอมแหละ จึงไม่อึดอัดอะไร เพราะเรายอมเล็ก จึงไม่กระทบกับใคร อาจารย์เข้ากับพระอื่น ๆ ได้ไหมฮะ ก็ได้ แต่พรรคพวก คนอื่นไม่ต้องไปเข้า เรื่องทะเลาะกันระหว่างพวกในวัดนั้นก็ไม่มีหรอก เราก็อยู่แต่ในคณะ กับสมภารก็อยู่คณะเดียวกัน ผมเป็นหลานของอาเสี้ยง ท่านก็ยินดีต้อนรับ มักจะให้สิทธิพิเศษตั้งหลาย
อย่าง (เฮ่อ ๆ ๆ) เช่นให้เปิดแผ่นเสียงได้ มันก็รู้กันอยู่ในทีว่าเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้เกียรติกันอยู่ อาจารย์ไปเรียนบาลีคราวนี้ไปเรียนเพื่ออะไร ไม่รู้ (เสียงห้วน ๆ แล้วหัวเราะ) มันก็ได้ผสมมติอยากจะดีจะเด่น เป็นมหาเปรียญด้วย สภาพเสนาสนะและความเป็นอยู่ของวัดในกรุงเทพฯ สมัยนั้นเป็นอย่างไรครับ วัดอื่นไม่ทราบ แต่วัดที่ผมอยู่สะดวกสบายพอสมควร คณะที่ผมไปอยู่นั้นมันอยู่กันคนละห้อง กุฏิเป็นเรื่องแบบโบราณ สร้างมาเป็นร้อย ๆ ปี มีหอสวดมนต์อยู่ตรงกลาง มีห้องมีกุฏิล้อมรอบ กว้างขวางพอสมควร มีบันไดขึ้นลง ๒ ข้าง เป็นแบบง่าย ๆ ไม่หรูหราเหมือนสมัยนี้ ใต้กุฏิที่ผมอยู่มีหมูเต็มไปหมด บางเวลาเหม็นมาก หนวกหูด้วย เวลาหมูวิ่งกัดกันทีแรกเขาเอามาปล่อย หรือมันหลุดเข้ามา แล้วมันออกลูกเร็ว ตอนนั้น
จึงได้เข้าใจคำว่าดินพอกหางหมู มันลูกเท่าชาม กลมปุ๊กพอกอยู่ที่หาง อย่างน้อย มันก็เท่ากำปั้น แกว่งไปมาคงจะเจ็บมากอยู่ มันคลุกกับดินกับฝุ่นอะไรมา แล้วแกว่งกระทบกับขา จนกลมเหมือนกับแกล้งกลึง แล้วมันไม่แตกไม่หลุด พอเกลือกเข้าอีกมันก็พอกเข้าอีก จนบางตัวเดินไม่ค่อยไหวก็มี ก่อนนั้นไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ พอเห็นทีแรกตกใจ (หัวเราะหึ ๆ ๆ) สภาพความเป็นอยู่ด้านอื่น ๆ ของพระในกรุงเทพฯ เป็นอย่างไรครับ พระชาวกรุงจริงไม่ค่อยมี ส่วนมากเป็นชาวต่างจังหวัด มาจากทั่วประเทศ พระ ๕๐๐ รูปนี่ พระกรุงเทพฯ ๔-๕ รูปเท่านั้น ไปเรียนบาลีเรียนนักธรรมกัน ส่วนมากก็ไปเรียนแบบโลก ๆ เป็นกันเกือบทุกวัด บางวัดเช่นวัดมหาธาตุฯ นี่คุมดีหน่อย นอกนั้นก็ดูจะปล่อยตามสบายใจ การบิณฑบาตนั้นเป็นถิ่น ๆ บางถิ่นไม่พอฉัน บางถิ่นเหลือฉัน อย่างตรงแถว ๆ ที่ผมอยู่เหลือฉัน ไปบิณฑบาตมาองค์หนึ่งก็ฉันไม่
หมด ทีนี้พระ ๔-๕ องค์มารวมกันมันก็เหลือเฟือ เด็กวัดปทุมคงคาที่ไปอาศัยเรียนทางโลกก็มีหลายคน รอบวัดปทุมคงคามีคนหนาแน่น และเป็นคนไทยถือพุทธถือศาสนาจัด ๆ ก็แยะ เป็นตระกูลใหญ่ ๆ ตระกูลโบราณ หลายตระกูล ตรุษจีนปีใหม่ เณรบางองค์ไปขนมาวันละ ๔-๕ บาตร คือพอเต็มกลับมาวัดแล้วไปขนมาอีก กว่าจะสิ้นเวลาบิณฑบาตมันได้ตั้ง ๔-๕ ครั้ง เพระว่าออกบิณฑบาตตั้งแต่ตี ๔ ตี ๕ วันนั้น ๆ พระไม่ต้องออกบิณฑบาตก็ได้ การบิณฑบาตที่ถึงกับแย่งกันนั้นผมไม่เคยพบ แถวนั้นคนใส่มากไม่ต้องถึงกับแย่งกัน พระเณรยังมีความคิดนึกกันอยู่ จะรอกันอย่างว่ามา ๒ ข้างของโยมจะดูว่าใครมาก่อนมาหลัง บางทีเราลืมไป จำไม่ได้แน่ เพื่อนอีกฝ่ายพยักหน้าให้เข้าไปก่อน ไม่ฉวยโอกาส มีอยู่บ้านหนึ่ง เป็นบ้านของคุณนายอุ่น ถ้าถึงวันประจำปีอะไรวันหนึ่ง จะมีพระไปยืนรอเต็มตรอกเพราะพระรู้ว่าวันนั้นเจ้าของบ้านจะใส่เงิน ๕ บาท พระเลยไปรอกัน บางองค์เอาหลายหน ข้ามมาจากฝั่งธนฯ ก็มี ผมยอมสละ
ผมรอไม่ได้ รอเป็นชั่วโมง ๆ รอไม่ได้ อีกอย่างข้าง ๆ ตลาดสดมีการขายข้าวและกับ พระก็ไปยืนรอกัน พอมีโยมมาก็ซื้อใส่บาตร ผมไม่ได้รอ เพราะไม่จำเป็นต้องรอ ยังไง ๆ ก็มีข้าวกินแน่ แล้วมันน่ารำคาญ การเทศน์สมัยนั้นเป็นแบบไหนครับ ที่วัดนั้นยังเทศน์ใบลาน ผมก็ไปเทศน์กับเขาครั้งหนึ่ง จำได้ว่าเทศน์เรื่องมหาวงศ์ เป็นเรื่องพงศาวดารของลังกา ประวัติศาสตร์ศาสนา เขาให้กัณฑ์เทศน์ ๒๕ บาท ชาวบ้านไปฟังกันไม่กี่คน เขาทำเพื่อรักษาประเพณี และทำตามความประสงค์ของคุณนายอุ่น โปษยจินดา พ่อแม่เขาเคยทำมาอย่างนั้น จัดให้พระเทศน์ ๗ วันองค์หนึ่ง เขาไม่อยากให้มันสูญไป มาขอร้องเจ้าอาวาสก็
จัดไปตามนั้น พระองค์ไหนพออ่านหนังสือได้ก็ถูกจัดขึ้นเทศน์ อาจารย์ครับ แสดงว่าความนิยมในพระศาสนาเริ่มเสื่อมลงแล้วสิครับ มันก็ต้องเรียกว่าเสื่อม แต่ก่อนนี้เราไม่รู้นะว่ามีคนเข้าวัดกี่คน แต่มันก็ยังเรียกว่ายังมีอยู่ละ ถ้าเป็นวันพระก็เต็มหมดที่ศาลา วันธรรมดาพระขึ้นธรรมาสน์ก็มีคนเฝ้าศาลา พอไม่ให้ขาด ผมให้ศีล "อิมานิ ปัญจะสิกขาปทานิ สมาทิยามิ" คนเฝ้าศาลาแกไปฟ้องเจ้าคุณว่าผมว่าเป็นทะสะสิกขาแทน เจ้าคุณแกก็คงไม่เชื่อ ยังเรียกผมไปล้อว่าทำไมว่าอย่างนั้น ผมบอกจะไปให้ทะสะทำไม ให้ศีลผมให้มานักหนาแล้ว ตาคนแก่นั้นแกหูเชือนไปเอง


พุทธทาส อินทปัญโญ

ที่มาของ "คำว่ากูรู"




คุรุ (สันสกฤต: गुरु) หรือ กูรู (guru ทับศัพท์ต่ออีกทีจากภาษาอังกฤษ) หมายถึง ครู หรือ อาจารย์ ถ้าแยกศัพท์ออกมาแล้ว จะมีสองคำ คือ คำว่า คุ ซึ่งแปลว่า แสงสว่าง (เป็นผู้ชี้ทางแสงสว่าง) และคำว่า รุ แปลว่า ความมืดมน (เป็นผู้ขจัดความเขลาที่มืดมน) ในศาสนาพราหมณ์ฮินดู มาจากปรัชญาความเชื่อในความสำคัญของการเข้าถึงความรู้ โดยมี คุรุ หรือ อาจารย์เป็นผู้ชักนำไปสู่จุดสูงสุด ในประเทศอินเดียในปัจจุบัน สำหรับผู้ที่นับถือศาสนาฮินดู และซิกข์ คำ คุรุ นี้ยังคงความหมายของความศักดิ์สิทธิ์ เช่น คุรุนานัก คุรุปัทมสัมภวะ คุรุนาคารชุน อนึ่ง คำว่า คุรุ นี้มีการทับศัพท์เป็นภาษาอังกฤษ โดยสะกดว่า "guru" ซึ่งหากทับศัพท์มาใช้ในภาษาไทย ก็จะต้องเขียน "คุรุ" ซึ่งมีศัพท์นี้อยู่แล้วในภาษาไทย เช่น คุรุสภา, คุรุ

ศึกษา เป็นต้น (ในภาษาบาลีใช้ "ครุ" เช่น ครุศาสตร์, ครุภัณฑ์) อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันมีความนิยมใช้คำว่า คุรุ นี้ในเชิงการบริหารและการศึกษา หมายถึง ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านในสาขานั้นๆ คุรุ ในภาษาสันสกฤตนั้นยังใช้หมายถึง พฤหัสบดี ซึ่งเป็นเทพเจ้าองค์หนึ่ง ซึ่งตรงกับเทพเจ้าจูปิเตอร์ของชาวโรมันนั่นเอง ตามความเชื่อในศาสนาฮินดูนั้น ดาว จูปีเตอร์/คุรุ/พฤหัสบดี ถือว่าเป็นดาวที่มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ ในภาษาต่าง ๆ ของอินเดีย คำว่า พฤหัสปติวาร(วันพฤหัสบดี) จะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าว่า คุรุ

วาร(วันคุรุ) โดย วาร นั้นหมายถึงวัน คุรุ ในอินเดียในทุกวันนี้ใช้ในความหมายทั่วไป หมายถึง "ครู" ในประเทศตะวันตก คุรุ ยังใช้ในความหมายที่กว้างขึ้นหมายถึง บุคคลที่เผยแพร่ศาสนา หรือ กลุ่มความเชื่อตามปรัชญาต่างๆ คำนี้ยังใช้ในความหมายเชิงอุปมา หมายถึงบุคคลผู้ซึ่งอยู่ในสถานะที่เชื่อถือได้ เนื่องมาจากความรู้ และความชำนาญ ที่เป็นที่ประจักษ์และยอมรับ

วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ไอที 24 ชั่วโมง




วิธีการเลือก SD Card ให้เหมาะกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ช่วงนี้ทุกท่านส่วนใหญ่จะมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ โดยเฉพาะที่มีแน่นอนคือสมาร์ทโฟน  ส่วนรองลงมาแต่ขาดไม่ได้สำหรับคนชอบไปเที่่ยวคือ กล้องดิจิตอล และกล้องวีดีโอ รวมไปถึงอุปกรณ์แท็บเล็ต Android บางตัวที่รองรับใส่ Micro SD Card ได้ด้วย คราวนี้เกิดคำถามว่าเราควรเลือกซื้อ SD Card หรือ Micro SD Card แบบไหน? ใช้ได้กับอุปกรณ์ของเราหรือเปล่า? และ ควรซื้อClass ไหนกันแน่? วันนี้เราได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ SD Card มาฝากกัน SD CARD ชื่อเต็มๆก็คือ Secure Digital CARD เป็นหน่วยความจำชนิด Flash Memory  ส่วนใหญ่ใว้ใช้กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ในช่วงแรกจะนิยมใช้กับพวกกล้องดิจิตอล , เครื่องเล่นเพลง MP3 , กล้องวีดีโอ แต่ปัจจุบันนี้หน่วยความจำเป็นที่นิยมมากบนกล้องดิจิตอล กล้องวีดีโอ และกล้องระดับโปร DSLR ซึ่งต้องการหน่วยความจำที่ส่งข้อมูลได้อย่างรวดเร็วด้วย ปัจจุบันนี้ SD CARD นี้ก็มีหลายชื่อมากขึ้น อย่่าง SD CARD , SDHC CARD , SDXC CARD มีหลายชื่อมาก ชื่อการ์ดแบบนี้ เป็นชื่อที่ขึันอยู่กับ

ขนาดความจุของหน่วยความจำ โดย SD Card (Secure Digital) มีขนาดความจุตั้งแต่ 4 MB – 4 GB ส่วน SDHC Card (Secure Digital High Capacity) เป็นการ์ดที่มีหน่วยความจำจุ 4 GB – 32GB และ SDXC Card (Secure Digital eXtended Capacity) เป็นการ์ดที่มีหน่วยความจุสูงตั้งแต่ 32 GB จนถึง 2 TB เลยทีเดียว โดยสรุปแล้ว พวก SD CARD ธรรมดาและ SDHC CARD สามารถใช้กับอุปกรณ์ต่างๆได้ โดยตัวการ์ดขนาดมาตรฐาน ใช้สำหรับพวกกล้องวีดีโอ กล้องดิจิตอล กล้อง DSLR และ SD CARD ขนาดจิ๋วอย่าง Micro SD Card สามารถใช้กับสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต mifi และกล้อง compact บางตัวได้ด้วย โดยการทำงานไม่ต่างจาก SD CARD ไซด์มาตรฐาน ส่วน SDXC เหมาะสำหรับเป็นหน่วยความจำคอมพิวเตอร์

เพราะจุสูงมาก แต่ก็สามารถใช้กับกล้องโปรและกล้องวีดีโอที่สเปครองรับ SDXC บางตัวด้วยเพราะการบันทึกวีดีโอ HD นั้นต้องใช้หน่วยความจำสูงเหมือนกัน จากภาพด้านบนนี้เป็น CANON EOS ที่ระบุสเปคว่าสามารถใช้กับการ์ด SDXC ได้ คราวนี้ ทั้ง SD CARD , SDHC CARD และ SDXC การ์ด มีแบบ Micro ด้วย ที่นิยมเรียกกันว่า Micro SD Card นี้ เป็นตัวหน่วยความจำไซด์เล็ก แต่ขนาดหน่วยความจำสูง ใช้กับพวกสมาร์ทโฟน และอุปกรณ์พกพาต่างๆ เช่น MIFI , แท็บเล็ต เป็นต้น ทั้งนี้ Micro SD CARD สามารถเสียบกับ Micro SD Adaptor (ซึ่งส่วนใหญ่มาพร้อมกับ Micro SD Card อยู่แล้ว ) เพื่อมาใช้เสียบกับช่องเสียบ SD Card Reader ขนาดใหญ่ได้ คราวนี้ในแต่ละการ์ดก็มี Class Speed ให้เลือกด้วย Class คือความเร็วในการอ่านเขียนข้อมูล โดยความเร็วการ์ดในการอ่านข้อมูล มีหลาย Speed ให้เลือก ที่นิยมมีขายคือ Class 2,4,6,10เช่น เราซื้อ Micro SD แบบ SDHC การ์ด ความจุ 16 GB Class4 จะมีความสามารถในการอ่านเขียนข้อมูลความเร็ว 4MB ต่อวินาที แต่ถ้าเราซื้อ Class 10 จะสามารถอ่านเขียนข้อมูลได้เร็วถึง 10MB ต่อวินาที นั่นก็หมายความว่า Class 10 สามารถโอนถ่ายข้อมูลได้เร็วกว่า Class 4 ด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องเลือก Class ให้สอดคล้องกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของเราด้วย โดย Class 10 นี้เหมาะสำหรับ

สมาร์ทโฟนระดับสูง อย่างพวก Samsung Galaxy Note 3, Samsung Galaxy S4 , HTC ONE MAX , และพวกมือถือสเปคแรงๆ กับพวกกล้องแบบโปร DSLR เป็นต้น ที่จะใช้ Class 10 ได้ แม้ราคาการ์ดสูงกว่า Class อื่นๆ แต่ก็กลายเป็น Class ยอดนิยมของคนมีมือถือสเปคสูง และมีแนวโน้มราคาถูกลงด้วย ส่วนถ้าเป็นกล้องดิจิตอลทั่วไป หรือมือถือสเปคทั่วไปที่ไม่สูงนัก ก็แนะนำเลือกที่ Class 4 ก็พอเหมาะสมแล้ว ซึ่งมีขายทั่วไป ส่วนบางตัวที่หลัง Class 10 แล้วมีสัญลักษณ์ เลข 1 ในตัว U ด้วยนั้น เรียกว่า Class UHS-1 (ย่อมาจาก Ultra-High Speed Bus 1 ) มีอัตราความเร็วอ่านเขียนข้อมูล สูงถึง 104MB/วินาที และ 300MB/วินาที) อ่านได้เร็วกว่า Class 10 ธรรมดา ใช้ได้กับ สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต กล้องดิจิตอล กล้องวีดีโอได้ทุกรุ่น แต่จะเหมาะสุดสำหรับการบันทึกวีดีโอแบบ full 1080p HD และวิดีโอ 3 มิติ รวมถึงตากล้องมืออาชีพที่ต้องถ่ายภาพต่อเนื่อง คุณภาพของภาพสูง ซึ่งราคาการ์ดแพงกว่า Class 10 ธรรมดาด้วย sd-card-01SD CARD ชื่อเต็มๆก็คือ Secure Digital CARD เป็นหน่วยความจำชนิด Flash Memory , ส่วนใหญ่ใว้ใช้กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ในช่วงแรกจะนิยมใช้กับพวกกล้องดิจิตอล , เครื่องเล่นเพลง MP3 ,

กล้องวีดีโอ แต่ปัจจุบันนี้หน่วยความจำเป็นที่นิยมมากบนกล้องดิจิตอล กล้องวีดีโอ และกล้องระดับโปร DSLR ซึ่งต้องการหน่วยความจำที่ส่งข้อมูลได้อย่างรวดเร็วด้วย sd-cardปัจจุบันนี้ SD CARD นี้ก็มีหลายชื่อมากขึ้น อย่่าง SD CARD , SDHC CARD , SDXC CARD มีหลายชื่อมาก ชื่อการ์ดแบบนี้ เป็นชื่อที่ขึันอยู่กับขนาดความจุของหน่วยความจำ SDHC_memory_cardโดย SD Card (Secure Digital) มีขนาดความจุตั้งแต่ 4 MB – 4 GB ส่วน SDHC Card (Secure Digital High Capacity) เป็นการ์ดที่มีหน่วยความจำจุ 4
GB – 32GB และ SDXC Card (Secure Digital eXtended Capacity) เป็นการ์ดที่มีหน่วยความจุสูงตั้งแต่ 32 GB จนถึง 2 TB เลยทีเดียวโดยสรุปแล้ว พวก SD CARD ธรรมดาและ SDHC CARD สามารถใช้กับอุปกรณ์ต่างๆได้ โดยตัวการ์ดขนาดมาตรฐาน ใช้สำหรับพวกกล้องวีดีโอ กล้องดิจิตอล กล้อง DSLR และ SD CARD ขนาดจิ๋วอย่าง Micro SD Card สามารถใช้กับสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต mifi และกล้อง compact บางตัวได้ด้วย โดยการทำงานไม่ต่างจาก SD CARD ไซด์มาตรฐาน dxc-camera-proส่วน SDXC เหมาะสำหรับเป็นหน่วยความจำคอมพิวเตอร์ เพราะจุสูงมาก แต่ก็สามารถใช้กับกล้องโปรและกล้องวีดีโอที่สเปครองรับ SDXC บางตัวด้วยเพราะการบันทึกวีดีโอ HD นั้นต้องใช้หน่วยความจำสูงเหมือนกัน จากภาพด้านบนนี้เป็น CANON EOS ที่ระบุสเปคว่าสามารถใช้กับการ์ด SDXC ได้คราวนี้ ทั้ง

SD CARD  SDHC CARD และ SDXC การ์ด มีแบบ Micro ด้วย ที่นิยมเรียกกันว่า Micro SD Card นี้ เป็นตัวหน่วยความจำไซด์เล็ก แต่ขนาดหน่วยความจำสูง ใช้กับพวกสมาร์ทโฟน และอุปกรณ์พกพาต่างๆ เช่น MIFI , แท็บเล็ต เป็นต้น ทั้งนี้ Micro SD CARD สามารถเสียบกับ Micro SD Adaptor (ซึ่งส่วนใหญ่มาพร้อมกับ Micro SD Card อยู่แล้ว ) เพื่อมาใช้เสียบกับช่องเสียบ SD Card Reader ขนาดใหญ่ได้ คราวนี้ในแต่ละการ์ดก็มี Class Speed ให้เลือกด้วย Class คือความเร็วในการอ่านเขียนข้อมูล โดยความเร็วการ์ดในการอ่านข้อมูล มีหลาย Speed ให้เลือก ที่นิยมมีขายคือ Class 2,4,6,10 เช่น เราซื้อ Micro SD แบบ SDHC การ์ด ความจุ 16 GB Class4 จะมีความสามารถในการอ่านเขียนข้อมูลความเร็ว 4MB ต่อวินาที แต่ถ้าเราซื้อ Class 10 จะสามารถอ่านเขียนข้อมูลได้เร็วถึง 10MB ต่อวินาที นั่นก็หมายความว่า Class 10 สามารถโอนถ่ายข้อมูลได้เร็วกว่า Class 4 ด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องเลือก Class ให้สอดคล้องกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของเราด้วย โดย Class 10 นี้เหมาะสำหรับสมาร์ทโฟนระดับสูง อย่างพวก Samsung Galaxy Note 3, Samsung Galaxy S4 , HTC ONE MAX , และพวกมือถือสเปคแรงๆ กับพวก

กล้องแบบโปร DSLR เป็นต้น ที่จะใช้ Class 10 ได้ แม้ราคาการ์ดสูงกว่า Class อื่นๆ แต่ก็กลายเป็น Class ยอดนิยมของคนมีมือถือสเปคสูง และมีแนวโน้มราคาถูกลงด้วย ส่วนถ้าเป็นกล้องดิจิตอลทั่วไป หรือมือถือสเปคทั่วไปที่ไม่สูงนัก ก็แนะนำเลือกที่ Class 4 ก็พอเหมาะสมแล้ว ซึ่งมีขายทั่วไป ส่วนบางตัวที่หลัง Class 10 แล้วมีสัญลักษณ์ เลข 1 ในตัว U ด้วยนั้น เรียกว่า Class UHS-1 (ย่อมาจาก Ultra-High Speed Bus 1 ) มีอัตราความเร็วอ่านเขียนข้อมูล สูงถึง 104MB/วินาที และ 300MB/วินาที) อ่านได้เร็วกว่า Class 10 ธรรมดา ใช้ได้กับ สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต กล้องดิจิตอล กล้องวีดีโอได้ทุกรุ่น แต่จะเหมาะสุดสำหรับ

การบันทึกวีดีโอแบบ full 1080p HD และวิดีโอ 3 มิติ รวมถึงตากล้องมืออาชีพที่ต้องถ่ายภาพต่อเนื่อง คุณภาพของภาพสูง ซึ่งราคาการ์ดแพงกว่า Class 10 ธรรมดาด้วย ข้อมูลจาก Amazon , Kingston ส่วนบางตัวที่หลัง Class 10 แล้วมีสัญลักษณ์ เลข 1 ในตัว U ด้วยนั้น เรียกว่า Class UHS-1 (ย่อมาจาก Ultra-High Speed Bus 1 ) มีอัตราความเร็วอ่านเขียนข้อมูล สูงถึง 104MB/วินาที และ 300MB/วินาที) อ่านได้เร็วกว่า Class 10 ธรรมดา ใช้ได้กับ สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต กล้องดิจิตอล กล้องวีดีโอได้ทุกรุ่น แต่จะเหมาะสุดสำหรับการบันทึกวีดีโอแบบ full 1080p HD และวิดีโอ 3 มิติ รวมถึงตากล้องมืออาชีพที่ต้องถ่ายภาพต่อเนื่อง คุณภาพของภาพสูง ซึ่งราคาการ์ดแพงกว่า

พุทธอุทาน

P3

วันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

あなたの家のヘビを保護する方法



วิธีป้องกันงูเข้าบ้านคุณ การป้องกันงูเข้าบ้านนั้นสามารถป้องกันได้โดยแก้จากเหตุจูงใจให้งูอยากเข้าบ้านโดย 1. อย่า ให้บ้านเราเป็นแหล่งรวมอาหารของงู เช่น กำจัดหนูโดยการดัก เบื่อ และจัดบ้านให้สะอาด เป็นระบียบเรียบร้อยไม่รกรุงรัง 2. ทิ้งขยะให้เป็นที่และมิดชิดเพื่อไม่ให้หนูกิน เมื่อประชากรหนูลดลง งูก็จะลดลงตามไปด้วย 3. ท่านใดที่ชอบเลี้ยงสัตว์ก็ควรเลี้ยงสัตว์ที่เป็นศัตรูกับงูเพื่อไว้ไล่งู เช่น เลี้ยง

หมา แมว ห่าน เป็นต้น ฯลฯ 4. ลดแหล่งที่อยู่ จัดสภาพแวดล้อมให้ยากและไม่เหมาะสมแก่งูที่จะเข้ามาอาศัยอยู่ หรือทำรังวางไข่ อย่าทิ้งพื้นที่ให้รกซึ่งจะเป็นแหล่งให้งู สามารถหลบซ่อนได้เช่น การอุดรู ใส่ตะแกรงท่อระบายน้ำ หรือทุกเส้นทางที่จะเข้าไปในตัวบ้าน ( โดยเฉพาะโพรงใต้บ้าน ) กลบหลุมหรือ โพรงที่มีตามสนามหรือขอบรั้ว กำแพง ตัดกิ่งไม้ที่พาดหรือใกล้ชายคาตัวบ้านหรือรั้ว กำแพง ฯลฯข้อควรปฏิบัติเมื่องูเข้ามาอยู่ในบ้านแล้ว 1. สังเกตุและแยกแยะประเภทของงูก่อนเลยครับว่าเป็น งูมีพิษหรือไม่มี โดยสังเกตุง่ายๆ ที่ หัวหากลักษณะเป็น สามเหลี่ยม นั้นคืองูมีพิษ แต่หาก มีลักษณะ มนกลม งูไม่มีพิษ ซึ่งบ้านเรามีอยู่ชัดๆ เจอบ่อยๆ 2 พวกคือ งูเหลือม งูหลาม กับ งูเห่า ซึ่งแยกค่อนข้างชัด โดยที่งูเหลือมงูหลามเป็นงูไม่มีพิษแต่มีอันตรายโดยการรัดเหยื่อ ส่วนงูเห่ามีแม่เบี้ยแผ่ให้เห็นชัดเจน ทำร้ายโดยการกัด

และปล่อยพิษ ฉะนั้นการหลบหลีก หรือจับก็จะแตกต่างกัน และต้องได้รับการฝึกฝนเป็นการเฉพาะ 2. ไม่ควรใช้วิธีไล่งูเพราะถึงคุณจะไล่ได้ในวันนี้วันอื่นๆมันก็จะกลับมาเหมือนเดิม งูจะพุ่งฉกหรือกัดเหยื่อที่เคลื่อนไหวฉะนั้นหากเผชิญกับงูให้อยู่นิ่งๆแล้วเคลื่อนไหว หรือถอยฉากหนีอย่างช้าๆโดยจับตาดูการเคลื่อนไหวของงูไว้ เพื่อหลบหลีกและควรอยู่ในระยะที่ปลอดภัย 3. เฝ้าสังเกตุว่างูยังอยู่ที่เดิมหรือมีทิศทางการเคลื่อนที่ไปในทิศทางใด เพื่อกันการหลบหนี 4. กันสมาชิกในบ้านให้อยู่ห่างมันไว้ ไม่ว่าจะเป็นเด็ก หรือสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหมาเอาไว้ให้ห่าง เพราะอาจโดนฉกหรือทำร้ายได้ และ อาจจะเป็นการไล่งู ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะไปถึง 5. เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน เพราะมนุษย์นั้นไม่ใช่เหยื่อโดยธรรมชาติของงู หากเราไม่ทำร้ายงูก่อน งูก็จะหลีกเลี่ยงไม่ทำร้ายมนุษย์เช่นกัน 6 . โทรศัพท์แจ้งขอความช่วยเหลือ ที่ 199 ดับเพลิงและกู้ภัยวิธีไล่งู ตามความเชื่อแต่ละบุคคล 

1. งู ที่กลัวเชือกกล้วยจะมีก็เฉพาะงูเหลือมเท่านั้น ซึ่งได้มีการพิสูจน์มาแล้ว ส่วนงูพิษยังไม่มีรายงาน การเลี้ยงสุนัข หรือห่านเป็นผู้ช่วยที่ดีที่สุด 

2. ใช้ สารเคมีที่มีกลิ่นฉุน เช่น น้ำมันก๊าด ( หาง่าย และไม่อันตรายกับคน และสัตว์เลี้ยง ) ให้ฉีดพ่นหรือราดรอบๆ บริเวณที่ไม่ต้องการให้มีงูอยู่ (ถ้าฉีดพ่นหรือราดน้ำมันก๊าดที่รังงู ก็จะหนีไปเหมือนกันครับ ) และ ควรฉีดพ่นหรือราดน้ำมันก๊าดในช่วงที่ไม่มีเด็กๆ อยู่ เพราะงูจะออกมาจากที่หล่บซ่อน วิธีนี้เคยใช้จัดการกับงูเห่ามาแล้วใช้ได้ผลครับ ลองนำไปประยุกต์ใช้ดูนะครับไม่ต้องฆ่าเขาด้วยแค่ไล่ไปเท่านั้น

 3. ใช้ผงกำมะถัน ( สีเหลืองๆ ) มาผสมน้ำแล้วราดบริเวณรอบบ้าน แต่วิธีนี้ต้องทำบ่อยหน่อย อย่างน้อย เดือนละครั้ง เพราะกำมะถันเจือจางแล้วงูก็เข้าอีก

4. เรื่องของงูมีข้อแนะนำนิดหนึ่งคือ ถ้าหากเผชิญหน้า

กับงูโดยบังเอิญให้เรานิ่งๆอย่าขยับ เพราะงูสายตาไม่ค่อยดีแต่ประสาทสัมผัสเป็นเยี่ยม ดังนั้นเขาจะโจมตีเป้าที่มีการเคลื่อนไหว ถ้าเราอยู่เฉยๆ สักพักพอเขาไม่เห็นว่ามีอันตรายหรือไม่มีอะไรเคลื่อนไหว เขาก็จะลดแม่เบี้ยแล้วก็เลื้อยหนีไปเองคาถาป้องกันงู ตามความเชื่อแต่ละบุคคล ปะถะมังพันธุ กังชาตัง ทุติยังทัณฑะ เมวะจะ ตะติยังเภทะกัญเจวะ จะตุตถังอังกุ สัมภะวัง ปัญจะมังสิระสังชาตัง นะงู นะกาโร โหติสัมภะโว ( ใช้ภาวนาเมื่อต้องเข้าป่าที่รก หรือแม้แต่เมื่อขณะพบเจองู จะทำให้คุณปลอดภัย ) ธรรมชาติ

ของ งู งู{Snake = 蛇} เป็นสัตว์เลื้อยคลาน ชนิดหนึ่ง ไม่มีขา ไม่มีเปลือกตา มีเกล็ดปกคลุมผิวหนังทั่ว ทั้งลำตัว ลักษณะลำตัวยาวซึ่งโดยขนาดของความยาวนั้น จะขึ้นอยู่กับชนิดของงู ปราดเปรียวและว่องไวในการเคลื่อนที่ มีลิ้นสองแฉกเพื่อใช้สำหรับรับความรู้สึกทางกลิ่น จัดอยู่ในชั้น Reptilia, ตระกูล Squamata , ตระกูลย่อย Serpentes โดยทั่วไปแล้วงูจะกลัวและไม่กัด นอกเสียจากถูกรบกวนหรือบุกรุก จะเลื้อยหลบหนีเมื่อมีสิ่งใดเข้ามาใกล้บริเวณที่อยู่ ออกล่าเหยื่อเมื่อรู้สึกหิว โดยกินสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กเป็นอาหาร หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมบ้านมีตั้งหลายหลัง แต่ทำไมเจ้างูต้องเข้ามาอยู่ในบ้านเราด้วย หรือจะเป็นคราวเคราะห์จริง ๆ ซึ่งอันที่จริง


お金 Money

เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม



คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้นทุกวัน ทำให้การใช้ชีวิตของแต่ละคนต้องเป็นไปอย่างประหยัดมัธยัสถ์ หรือบางคนก็อาจจะไม่พอใช้จ่ายรายเดือนเลยด้วยซ้ำ จนกลายเป็นความท้อแท้ที่ชักหน้าไม่ถึงหลังและเบื่อชีวิตเอาดื้อ ๆ ซึ่งถ้าคุณเป็นหนึ่งในคนที่กำลังเหนื่อยหรือท้อกับเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ลองมาอ่านบทความดี ๆ ที่กระปุกดอทคอมได้รับอนุญาตให้เผยแพร่ จาก คุณกบกินกะลา สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ผู้ซึ่งสามารถใช้ชีวิตทั้งเดือนได้ด้วยเงิน 800 บาท ในวันที่เขาหมดหนทางจริง ๆ ลองไปอ่านเพื่อเตือนสติตัวเองให้กลับมาฮึดสู้อีกครั้งกันนะคะ ^^ ผมมีอะไรเล่าให้ฟังกับเงิน 800 บาทกินทั้งเดือนสำหรับคนที่ท้อแท้หาทางออกกับชีวิตไม่ได้ โดย คุณกบกินกะลา สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม จะเล่าอะไรให้ฟังนิดหนึ่งครับ พอดีนึกถึงตัวเองตอนมาหางานทำที่กทม. เมื่อสองปีที่แล้ว (ทั้งหมดนี่ คือเรื่องจริง 100% ทีเกิดขึ้นกับผม) ประมาณสองปีก่อน ผมตกงานอยู่ที่ ตจว. ค้างค่าเช่าบ้านเขา (เดือนละ 1,200 บาทก็ยังหาไม่ได้) เลยมาหางานทำที่ กทม. เพราะงานที่ ตจว.หายากมาก ๆ มีเงิน

ติดตัวมาทั้งหมด 2 พันบาทถ้วน (เอามือถือ เอา ram Hdd ไปขาย) โทรศัพท์เอาอันเก่าที่หน้าจอแตก มองอะไรไม่เห็น เอามาใช้ชั่วคราวก่อน เพื่อโทรหาลูก-เมียที่บ้าน หอบเสื้อผ้า กระเป๋า มากทม. คนเดียว ลูก-เมีย ทิ้งไว้ที่ ตจว. เป็นการเดิมพันครั้งยิ่งใหญ่สุดในชีวิตเลย มาเพื่อวัดดวงกันเลยจริง ๆ นั่งรถไฟฟรีตั้งแต่ ตี 4 มาลง กทม. ประมาณ 8 โมงเช้า นั่งรถเมล์ฟรีต่อมายังย่านที่คิดว่า ค่าเช่าห้อง ค่าใช้จ่ายถูก ๆ ที่เล็งไว้ก็คือ ประชาอุทิศ พระประแดง สุขสวัสดิ์ ทุ่งครุ (หาข้อมูลไว้ก่อนแล้วว่าแถวนี้ ค่าเช่าถูก โรงงานเยอะน่าจะมีงานให้ทำเยอะเช่นกัน) ผมไปเดินหางานร้านคอมฯ ร้านของชำ โรงงาน ปั้มน้ำมัน ร้านอาหาร คาร์แคร์ ฯลฯ ร้านไหนติดป้ายหน้าร้านบอกรับคนงาน พนักงาน ก็เข้าไปสมัครกับเขาเลยไม่อายอะไรทั้งสิ้น ตอนนั้นงานอะไรก็ทำหมด ของานเขาทำ ค่าแรงไม่เกี่ยงเดินหางานอยู่ เกือบ 1 วัน ไม่ใช่ง่าย ๆ เพราะ

ส่วนใหญ่จะจ้างผู้หญิง หรือไม่ก็คนอายุน้อย ๆ (ตอนนั้นผม 35 แล้วนะครับ) จนได้งานร้านขายคอมฯ เขาจ้างให้เฝ้าร้านและประกอบคอม ค่าแรงวันละ 300 บาท พรุ่งนี้มาทำได้เลย ดีใจมาก ผมยังไม่มีห้องพัก เลยหอบกระเป่าเสื้อผ้าไปนอนร้านเกมส์ ย้ำว่าไปนอนร้านเกมส์ คือเดินไปเดินมานั่งป้ายรถเมล์จนดึก แล้วก็ไปนั่งร้านเกมส์ เช่าคอมฯ เขา (เขามีเหมา 1 ทุ่ม ถึง 6 โมงเช้า ที่ 80 บาท) เลยวางของตรงนั้น นั่งเล่นเกมคร่าเวลาไป พอดึกก็นั่งหลับตรงนั้นเลย เงิน 80 บาทถือเป็นค่าที่พักห้องแอร์ มีเกมส์เน็ตให้เล่น 555 พอเช้า ตีห้า ตื่นมาก็หอบกระเป๋าเสื้อผ้า เดินไปปั๊มน้ำมันใกล้ ๆ เข้าห้องน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน เปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมไปทำงานวันแรก (แต่ไม่ได้อาบน้ำ ทนเหม็นหน่อยเอาแป้งเด็กทาตัวดับกลิ่นไปก่อน) ไปทำงาน และตอนพักเที่ยง เดินไปหาหอพักแถว ๆ นั้น (ผมไปอยู่แถว ๆ ม.พระจอมเกล้าฯ บางมด)
เจอห้องพักราคาถูกเดือนละ 1 พันบาทไม่ต้องมัดจำ รวมน้ำไฟแล้ว เลยสนใจมาก เป็นห้องพักเก่า ๆ ตึกอาคารพานิชย์เก่า ๆ แบ่งห้องให้เช่า ในห้องไม่มีอะไร นอกจากพัดลมเพดาน กับเสื่อน้ำมันเก่า ๆ ห้องน้ำรวม ห้องน้ำก็เก่ามาก ๆ ไม่มีฝักบัว มีแต่ก๊อกกับโอ่งดินเก่า ๆ เล็ก ๆ รองน้ำกับขัน 1 ใบ ในตึก มีทั้งหมด 20 ห้อง มีคนอยู่ประมาณ 4 ห้อง ที่เหลือร้างหมด ดึก ๆ เหมือนตึกร้างเลย แต่ผมไม่กลัวผีหรอกนะ เลยเอาเงินวางจอง 1 พันบาท หอบเสื้อผ้าไปนอนวันนั้นเลย ได้ที่พักแล้ว 1 เดือน ได้งานทำแล้ววันละ 300

บาท ครบองค์ประกอบการรอดชีวิตแล้ว (ลืมบอกไปว่า ก่อนผมจะมากทม. ผมยืมเงินพี่ข้างบ้านไว้ 1 พันบาท ทิ้งไว้ให้ลูก-เมียกิน ตัวผมเอาเงินจากขายของมา 2 พันบาท) เงินเหลือติดตัวทั้งสิ้นประมาณ 800 บาท ณ วันที่ 1 ของเดือน ต้องอยู่ให้ได้ถึงสิ้นเดือนกับเงินสุดท้ายนี้ เพื่อเงินเดือนออกจะได้รอด ผมเดินไปทำงาน เพราะมันไม่ไกลมากประมาณ 3 กิโล ถ้าโชคดีเจอรถเมล์ฟรี ก็โดดขึ้นเลย ทำงาน ตอนเที่ยงไม่ได้กินข้าว กินแต่น้ำเอา ตอนเย็นเลิกงาน ไปซื้อข้าวเปล่า 10 บาท กับปลากระป๋อง ยี่ห้อ ซีเล็ครสเผ็ด (กระป๋องเขียว ๆ) ราคา 14 บาท (ไม่แน่ใจว่าตอนนี้ขึ้นราคาหรือยัง) รวมแล้ว 24 บาท (เอาขวดเปล่ากดน้ำตู้ 1 บาทไว้กิน) ผมซื้อปลากระป๋องแทบทุกวัน จนเด็กในร้านจำผมได้ เท่ากับว่าผมใช้ชีวิตอยู่ได้ ด้วยเงินวันละ 25 บาทเท่านั้น 30 วัน x 25 บาท ผมใช้เงินทั้งหมด 750 บาท ผมกินข้าวกับปลากระป๋อง เกือบ

ทั้งเดือน ถ้าเบื่อผมก็เอาเงิน 25 บาทที่เป็นงบค่ากิน ไปซื้อข้าวไข่เจียวกล่องละ 20 บาท + ลูกชิ้น 1 ไม้ 5 บาท หรือหมูปิ้งไม้ละ 5 บาท 3 ไม้ + ข้าวเหนียว 10 บาท ก็สามารถอิ่มได้ มันสนุกที่จะทำไง ให้เงิน 25 บาท ซื้อของกินให้ได้มากที่สุด อิ่มที่สุด ผมซื้อปลากระป๋อง เซเว่นทุกวัน จึงเอาเงินสดเติมเข้าบัตร เซเว่นไป 500 บาท แล้วใช้เงินในบัตรซื้อปลากระป๋อง จนได้แต้มมาส่วนหนึ่ง แล้วเอาแต้มนั้นแลกเป็นของอย่างอื่น เช่น มาม่า ขนมปัง นม ฯลฯ แล้วแต่ว่าพอหรือเปล่า ผมไม่มีเงินเติมมือถือ รับสายได้อย่างเดียว ตอนนั้นของ true มีบริการยืมเงินค่าโทรได้ 30 บาท ผมก็กดยืมเพื่อเอาไว้โทรหาลูกเมียที่บ้าน วันเว้นวัน โทรวันละ 2-3 นาทีก็รีบวาง หรือไม่ก็ให้เมียสมัครโปร 9 บาทโทรฟรี 2 ทุ่ม ถึง 6 โมงเช้า โทรมาหาผมแทน ยอมรับว่าตอนอยู่คนเดียว คิดถึงลูกมาก และเป็นห่วงเมียที่กำลังท้องอยู่ด้วย ว่าถ้าเกิดอะไรขึ้น ผมจะไปช่วยยังไง ลูกป่วยจะทำไง ฯลฯ แต่ก่อนมาก็ฝากพี่ข้างบ้านช่วยดูแลไว้แล้ว คงไม่เป็นไรหรอก คิดแบบนั้นตลอดเวลา ลืมบอกสิ่งที่ผมคิดว่า ผมก็ประทับใจตัวผมจนทุกวันนี้ (ชมตัวเองก็เป็น) ที่สุดก็คือทุกวันศุกร์ตอนเลิกงานแล้ว ผมจะนั่งรถเมล์ฟรีสาย 21 ไปลงหัวลำโพง และต่อรถไฟฟรีเพื่อกลับไปหาลูกเมียที่ลพบุรี ขึ้นรถเที่ยวสามทุ่ม (ถ้าจำไม่ผิด) ไปถึงลพบุรีประมาณเที่ยงคืน ขอยืมจักรยานของจนท.รถไฟ ขี่ไปหาลูกที่บ้าน (ขอยืมเขา พี่เขาก็ใจดีให้ยืมทุกครั้ง) แล้วอยู่กับลูก-เมียเย็นวันอาทิตย์ ก็นั่ง


รถไฟฟรีกลับ กทม. มาทำงานตอนเช้าวันจันทร์ต่อ ผมทำแบบนี้ทุกสัปดาห์ เพราะมันอดไม่ได้จริง ๆ ที่ไม่ได้เจอลูก-เมีย จนถึงวันที่ 30 ที่เงินเดือนแรกจะออก น้ำหนักผมลดไป 5 กิโลกรัม แต่ไม่เป็นไรไม่ป่วยอะไร ผมเหลือเงินติดตัวสุดท้าย 50 บาทในวันสุดท้ายก่อนเงินเดือนออก เย็นนั้นผมเอาเงินนี้ไปซื้อข้าวมันไก่ 30 บาท + น้ำอัดลม 15 บาท จำได้จนถึงวันนี้ว่า เป็นมื้อที่ผมมีความสุขที่สุดในโลก เพราะ.....ผมได้อดทนมาถึงขนาดนี้ได้ ด้วยเงินแค่ 800 บาทอยู่ได้ทั้งเดือน หลังจากเงินเดือนออก 9,000 บาท ผมก็เอาเงินไปมัดจำห้องคอนโดเก่า ๆ มีห้องน้ำในตัว เช่าเดือนละ 1,500 บาท แล้วที่เหลือ ผมก็ไปพาลูก-เมียมาอยู่ด้วยกัน (ตอนนั้นเมียกำลังท้องประมาณ 6 เดือน) เหลือเงินจากหักย้ายบ้าน มัดจำคอนโดแล้ว เหลือประมาณ 5 พันบาท ซึ่ง 5 พันบาทนี้สำหรับ 3 ชีวิต และ อีก 1 ชีวิตในท้อง ผมคิดว่ามันเพียงพอแล้ว กินได้อาทิตย์ละ 1 พันเหลือเฟือเลย นั่นแหละครับ ชีวิตที่ต้องเสี่ยงและเดิมพันเพื่อคนอื่น ทุกอย่าง ทุกปัญหามีทางออกครับ เพียงแต่เราต้องใช้สติและปัญญาให้รอบคอบ เพิ่มเติมครับสำหรับท่านที่เป็นห่วง เรื่องที่เล่ามาเป็นเรื่องที่เกิดเมื่อ "สองปีที่แล้ว" ก่อนลูกคนเล็กจะคลอดครับ ณ วันนี้ ผมก็อยู่ได้เรื่อย ๆ  ไม่ถึงกับรวย แต่ก็ไม่ลำบากมาก สิ่งที่ผมเจอมานั้น อยากจะแชร์ให้ท่านที่คิดว่า ท้อ เหนื่อย เบื่อ

เครียด เสียใจ ฯลฯ กับชีวิตที่สิ่งไม่ดีเข้ามาหาเรา ผมอยากให้ท่านอย่าถอย จงสู้กับมัน สู้ด้วยสติ และพิจารณาทางแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น บางสิ่งเรามองเห็นแต่ไม่ได้สนใจ ทางหลาย ๆ อย่างมันมีทางออกแน่นอน - คนตกงาน ขอให้สู้ต่อครับ ผมก็ตกงานเกือบครึ่งปีมาก่อน - คนเป็นหนี้สิน หาทางสู้ครับ ผมก็เป็นหนี้มากมายก่อนเป็นแสน ๆ - คนมีปัญหาครอบครัว หันหน้าคุยกันครับ มีอะไรจะพูด บอกให้หมดทุกอย่าง แล้ว ช่วยกันเดินไปด้วยกัน ฯลฯ ผมเชื่อว่าเราทุกคน ท้อได้ แต่อย่าถอยครับ ถ้าเหนื่อยก็นั่งพัก ให้หายเหนื่อย แล้วลุกขึ้นเดินต่อ สักวันหนึ่ง มันต้องเป็นของเรา ช้าได้แต่ขอให้สู้

1-IMG_0020 (Copy)


ถ้อยถ้วนทุกคำ ล้วนเป็นประโยชน์ยิ่ง ในปัจจุบันสมัย ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนา คุณเผดิม ยี่สมบุญ ที่มีเมตตาเกื้อกูลธรรม อันควรค่าแก่การพิจารณา เพื่อประโยชน์สูงสุด ใน ณ กาลครั้งหนึ่ง ในสังสารวัฏฏ์ ได้อ่าน พิจารณากันเพื่อเกิด กุศล เกิด ความเข้าใจถูกดังนี้ ความถูกต้อง และ ความไม่ถูกต้อง ดูที่พฤติกรรม ว่า การกระทำครั้งแรก กับ ครั้ง ปัจจุบัน เหมือนหรือต่างกันหรือไม่ ถูก หรือ ผิด ไม่ใช่กล่าวอ้าง แต่จะต้องมีหลักฐาน และ พิจารณาตามนั้น - การจะพิจารณาเรื่องใด เรื่องหนึ่ง จะต้อง

พิจารณาทีละประเด็น ถูก เป็น ถูก ผิด เป็นผิด เปิดใจที่จะรับฟัง เหตุผล หากเป็นผู้ที่ตรง และต้องการสัจจะ ความจริง - แต่ละคน ก็มีอกุศลด้วยกันทั้งนั้น และ ทำสิ่งที่ไม่ดีไม่มาก ก็น้อย แต่ ปัจจุบัน ควรหรือไม่ ที่จะทำในสิ่งที่ดี และ ร่วมกันทำในสิ่งที่ถูกต้อง เพื่อ ละ ความ ไม่ถูกต้อง - อะไรจะเกิดขึ้นข้างหน้า ต้องมั่นคงในเรื่องของกรรม ควรที่จะทำดี ศึกษาพระธรรม ต่อไป ไม่ว่าเหตุการณ์ใด จะเกิดขึ้น - ถ้าตาย ในขณะที่ทำดี ดีกว่า ตายในขณะที่มีชีวิตที่ทำชั่ว เพราะฉะนั้น ก็มั่นคงใน กรรม ว่า อยู่ที่ไหน ก็ตายได้ แต่ถ้า ช่วยเหลืกัน

ทำในสิ่งที่ถูกต้อง แม้จะตาย ก็เป็น การตายที่เป็นการทำความดี ประเสริฐสุด - การช่วยเหลือกัน เสียสละ คิดถึง คนที่นอนกลางดิน กินกลางทราย เหนื่อยยาก ลำบาก เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าไหม และ ควรทำหรือไม่ - การดับกิเลส ไม่ใช่เพียงศึกษาธรรม แต่ต้องทำความดีทุกประการ นั่นคือ บารมี มี ทาน เป็นต้น ก็ควรทำกุศล เมื่อมีโอกาส ไมเช่นนั้นก็จะเสียใจภายหลัง ที่ไม่ได้ทำ ความดี แม้จะแพ้ ก็เป็นความดีที่แพ้ แม้จะชนะ ก็เป็นความดีที่ชนะ แม้จะชนะ ก็เป็นความชั่ว ที่ชนะ แม้จะแพ้ ก็เป็นความชั่วที่แพ้ เพราะฉะนั้น ความดี ความชั่ว ไม่เปลี่ยนแปลง ไปตามความชนะ หรือ แพ้ เพราะ ความดี ความชั่ว เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ไม่เปลี่ยน ลักษณะ แต่ ควรทำในสิ่่งที่ดี หรือ ที่ชั่ว - ความชอบธรรม คือ ความดี ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น ควรที่จะทำในสิ่งที่ ชอบธรรม และ ยึดถือในสิ่งที่ชอบธรรม

ธรรมบรรณาคารจาก....................คลิ๊ก