วันอังคารที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2553

โกวเล้งรำพัน ตอน ไม่ใช่ความรัก




ความรักคืออะไร ? รักกันดูดดื่มจนลืมตาย รักจนกระทั่งประสาทเลอะเลือนรักจนกระทั่งปัญญาโง่งม รักจนกระทั่งหากขาดเธอฉันก็จะตาย นอกจากเธอแล้วฉันไม่ต้องการสิ่งอื่นใด รถยนต์ก็ไม่ต้องการ ตึกก็ไม่ต้อง
การ ชื่อเสียงก็ไม่ต้องการ อาชีพการงานก็ไม่ต้องการ มิตรสหายก็ไม่ต้องการ กระทั่งว่าแม้พ่อ แม่ พี่ น้อง สามี และบุตร ก็ไม่ต้องการ กระทั่งว่าแม้ทรัพย์สินเงินทองเพชรพลอยก็ไม่ต้องการกระทั่งว่า แม้แต่ชีวิตก็ไม่ต้องการนี่ จะจัดว่าเป็นความรักได้ไหม แน่นอน ต้องเป็น หากว่าแม้กระทั่งอารมณ์ความรู้สึกเช่นนี้ยังไม่อาจจัดว่าเป็นความรัก จะยังมีอารมณ์ความรู้สึกใดที่จะจัดว่าเป็นความรักได้อีกแต่ว่า....................ความรักเช่นนี้สามารถรักษาไว้ได้นานเท่าใดเล่า



คุณ คนเดียว คุณเดินอยู่บนถนนอันห่างไกลยามเย็น คุณมองเห็นคนแก่สองคน คนหนึ่งเป็นชายชราที่แต่งตัวเชยมาก คนหนึ่งเป็นหญิงชราที่ทาปากแดง ทั้งสองไม่ได้จูงมือกัน และไม่ได้มีทีท่าของคนที่สนิทสนมกันอย่างมาก บางครั้งกระทั่งว่าคนหนึ่งเดินอยู่ข้างหน้า คนหนึ่งตามมาข้างหลัง บางครั้งทิ้งระยะห่างกันตั้งสามสิบสี่สิบเมตร เหมือนว่าแม้ความเกี่ยวพันกันเพียงน้อยนิดก็ยังไม่มีแต่หากคุณเป็นคนที่ผ่าน ประสบการณ์ชีวิตมาอย่างโชกโชน กระทั่งว่าแม้แต่ความตายก็ยังเคยพบผ่านมาแล้ว คุณย่อมจะรู้ว่านั่นคืออะไรนั่นคือสิ่งที่น่ารักที่สุด สบายที่สุด และน่าอิจฉาที่สุดในโลกมนุษย์เรานี้แน่นอนว่านั่นมิใช่ความรักแล้วในบัดนี้ แต่คือการหลอมรวมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของความรักที่มนุษย์ชาติมีอยู่


..............โกวเล้ง.....รำพัน.............เรืองรอง รุ่งรัศมี แปลจากภาษาจีน

琵 琶 行{白 居 易}




ไป๋จวีอี้ 白 居 易 ค.ศ. 772 - 846


เป็นกวีเอกผู้หนึ่งในสมัยราชวงศ์ถัง เกิดที่ซินเจิ้ง ใกล้ ๆ กับเจิ้งโจวซึ่งเป็นเมืองหลวงของมณฑลเหอหนานในปัจจุบันเติบโตในตระกูลข้า
ราชการ ปัญญาชนในสิงหยาง{荥阳市} มืองเล็ก ๆ ใกล้บ้านเกิดอายุ 12 ปี สามารถเขียนบทกลอนง่ายๆได้แล้วครอบครัวเขาได้หลบหลีกความวุ่นวายทางการเมือง ภาคเหนือลงมาอยู่ที่มณฑลเจ้อเจียง4 ปีต่อมามีหลักฐานว่าเขาไปอยู่ที่นครหลวงฉางอานโดยได้ยื่นเสนอผลงานบทกวีต่อ ผู้ตรวจราชการ กู้คว่าง 顾 況 นักกวีโด่งดังคนหนึ่งปี ค.ศ. 794 บิดาของเขาถึงแก่กรรม ขณะนั้นเขาอายุได้ 22 ปีต้องรับภาระดูแลครอบครัว เขาสอบเข้ารับราชการหลายครั้ง แต่ไม่ผ่านกระทั่งเมื่ออายุได้ 28 ปี จึงสอบได้ ทำราชการอยู่ 6 ปี จึงประสบความสำเร็จได้รับการแต่งตั้งให้ได้รับตำแหน่งเป็นครั้ง แรก.............

ปี ค.ศ. 811 กลับไปอยู่ที่หมู่บ้านเว่ย ซึ่งเป็นบ้านบรรพชน อยู่แถบแม่น้ำเว่ยในมณฑลส่านซี เพื่อเป็นการไว้ทุกข์ให้มารดาที่สิ้นชีพลงเนื่องจาก

ตกลงไปในบ่อน้ำขณะกำลังชมสวนดอกไม้

ปี ค.ศ. 815 หลังจากกลับมารับตำแหน่งเดิม ก็ถูกเนรเทศให้ไปอยู่ที่สวินหยาง มณฑลเจียงซี เนื่องจากถูกใส่ร้ายโดยคู่แข่ง

ปี ค.ศ. 818 ถูกเรียกตัวกลับจากการเนรเทศแต่งตั้งให้เป็นข้าหลวงแห่งจงโจว ในมณฑลเสฉวน

ปี ค.ศ. 822 เป็นข้าหลวงเมืองหังโจว

ปี ค.ศ. 825 เป็นข้าหลวงเมืองซูโจว

ปี ค.ศ. 829 ได้บุตรชายคนเดียว แต่พออายุไม่ถึง 2 ขวบก็เสียชีวิต

ปี ค.ศ. 831 ย้ายไปอยู่เมืองลั่วหยาง และได้รับการเลื่อนชั้นให้เป็นข้าหลวงใหญ่ประจำมณฑลเหอหนาน

ปี ค.ศ. 833 ก็ขอลาออกจากราชการเนื่องจากปัญหาสุขภาพ

ปี ค.ศ. 839 ป่วยเป็นโรคหลอดโลหิตสมองเป็นอัมพาต

ปี ค.ศ. 846 ถึงแก่กรรม สิริอายุได้ 75 ปี


ไป๋จวีอี้ มี สหายสนิทคู่ใจ ชื่อ หยวนเจิ่น {元 稹 ค.ศ. 779-831} คบหาร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานทางบทกวี อีกทั้งยังแต่งบทกวีเพื่อวิจารณ์สังคมและการเมืองหลาย ๆ ผลงานของเขา แต่งขึ้นมาเพื่อเปิดโปงชีวิตที่ลำบากของชนชั้นล่างด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย เมื่อเขาแต่งบทกวีเสร็จก็จะให้หญิงชาวนาชราอ่านดูก่อนหากเธอสามารถเข้าใจดี ไป๋จึงจะถือว่าเสร็จเป็นร่างสุดท้ายเขาจึงมีสมญานามว่า{กวีแห่งประชาชน}เท่า ที่ปรากฏ{ไป๋}แต่งบทกวีไว้ประมาณ 2,000 ชิ้นงานของเขาเปี่ยมด้วยความเมตตากรุณา ห้อารมณ์อ่อนไหวชื่นชมธรรมชาติ อ่านแล้วสะเทือนอารมณ์ในสมัยราชวงศ์ถังมีทั้งสงครามชายแดน การแย่งชิงอำนาจในเมืองหลวงบางรัชกาลก็สงบรุ่งเรือง ไป๋จวีอี้ มีความศรัทธาในประชาชนสามัญชนทำตัวสนิทสนมง่ายกับชาวบ้านหาความสุขได้กับ สิ่งธรรมดาไม่หรูหราฟุ้งเฟ้อ อย่างไรก็ดีในงานของเขามีความรับผิดชอบต่อสังคมเสมอไม่ละเว้นที่จะวิพากษ์ วิจารณ์การเมืองและสังคมเมื่อมีโอกาสด้วยสำนวนที่แหลมคมกินใจ



.............ลำนำพิณผีผา{琵 琶}โดยไป๋จวีอี้..........



ยามหัวค่ำส่งแขกที่สวินหยางเจียง
เสียงลมฤดูศารทพัดใบเฟิงและพงแขมดังเกรียวกราว
เจ้าภาพลงจากม้า ผู้เป็นแขกอยู่ในเรือ
ชูจอกสุราดื่มกัน ไร้ดนตรีขับกล่อม

ยังมิเมากลับรู้สึกเศร้าที่ต้องจากกัน
วารต้องพรากแม่น้ำเวิ้งว้างสะท้อนเงาจันทร์ทาบ
บัดดลยินเสียงพิณผีผาลอยมาเหนือน้ำ
เจ้าภาพยังมิทันขึ้นม้าแขกยังมิทันออกเรือ

จึงเคลื่อนตามถามไปว่า เสียงพิณมาแต่ใครที่ไหน ?
เสียงพิณหยุดชะงัก ไร้เสียงตอบกลับ
เห็นเรือลำหนึ่งริมตลิ่งหญิงเล่นพิณท่าเอียงอาย
เติมสุราตามประทีปเชื้อเชิญนางร่วมวง

วอนเธอแล้ววอนเธอเล่าโปรดเล่นเพลงพิณ{ผีผา}
นางโอบพิณมาปิดบังหน้าซีกหนึ่งไว้
พอขึ้นสายก็ลองเสียงดังแผ่วเบา
เริ่มเพลงเร้าอารมณ์ซึ้งแสนกำสรด

นางก้มหน้ากรีดนิ้วกระทบสาย
สำเนียงเพลงบรรเลงบรรยายความรู้สึก
เริ่มด้วยเพลง กระโปรงขนนกสีรุ้ง
ตามมาเป็นเพลง หกจังหวะ

สายทุ้มดังซู่ซ่าเกรียวกราวราวสายฝน
สายเอกราวเสียงพร่ำพรอดกระซิบกระซาบ
ดังสลับขับขานประเลงประลอง
ดุจดังมุกเม็ดเล็กใหญ่ร่วงใส่จานหยก

และสำเนียงนกขมิ้นร้องกลางหมู่มาลี
เหมือนวารีไหลผุดผ่านท้องธารเย็นเยือก
แล้วพลันหยุด ความเงียบปกคลุม
เสียงเงียบสิกลับหวานชื่นกว่าเสียงดนตรี

และแล้วกลับฉับดังเพลงพิณอีก
ดังระเบิดลั่นราวน้ำกระจายจากแจกันเงินแตก
ตามด้วยเสียงศาสตราหอกดาบประกระทบ
กับเสื้อเกราะม้ารบดังเคล้งคล้าง

ท้ายสุดเสียงสายทั้งสี่ประสานสอดสนั่น
เป็นเสียงเดียวกันเฉกฉีกผ้าไหมควากจบ
เรือสองลำกลับสงัดเงียบอีกครา
มองท้องธาราเห็นจันทร์ฤดูศารทผ่องสกาว

เธอถอนใจพลางหยิบไม้ดีดกรีดสายพิณ
จัดอาภรณ์ให้เข้าที่พลางนั่งลงเล่าเรื่องราว
กล่าวว่า ข้าน้อยนี้แต่เดิมเป็นชาวนครหลวง
อยู่ ณ.ดำบลเซียหมาหลิง

เมื่ออายุสิบสามเรียนสำเร็จวิชาพิณผีผา
มีชื่อเสียงเชี่ยวชาญเป็นที่หนึ่งของชั้นเรียน
การแสดงของข้าน้อยเป็นที่ชมชอบยิ่งของอาจารย์
เมื่อแต่งองค์ทรงเครื่องก็ยิ่งงามโฉมน่าอิจฉานัก

บรรดาชายหนุ่มตระกูลดีแถวอู่หลิงล้วนรุมล้อม
เล่นเพลงเดียวก็ได้ของกำนัลผ้าไหมหลายม้วน
ยามเล่นเพลินตามจังหวะจนทำหวีเงินตกปิ่นหล่นแตก
กระโปรงสีแดงโลหิตก็เปื้อนเปรอะด้วยสุรารด

วันเวลาผ่านไปสุดแสนสราญรมย์ปีแล้วปีเล่า
ลมวสันต์จันทร์ศารทเวียนผันผลัด
น้องชายถูกโยกย้ายไปชายแดน มารดาก็เสียชีวิต
เมื่ออายุวัยมากขึ้นแขกเหรื่อหดหาย

ที่หน้าบ้านพวกรถม้าเคยหาสู่ลดลง
สุดท้ายข้าน้อยจึงแต่งงานกับพ่อค้าวานิชหนึ่ง
ผู้ซึ่งมุ่งกำไร จนไม่ใส่ใจยี่หระละทิ้งบ้านช่อง
หนึ่งเดือนแล้วที่เขาจากบ้านไปฟู่เหลียงซื้อใบชา

ข้าน้อยจึงออกเรือเปล่าล่องมาปากน้ำ
แสงจันทร์สาดต้องลำเรือบนสายนทีที่เหน็บหนาว
ย่างสู่ราตรียิ่งหวนคนึงถึงยามเยาว์ดรุณ
ชลนัยน์ไหลเป็นทางเลอะใบหน้าอาบสำอาง

ยามได้ยินเรื่องราวนักพิณผีผานี้เล่าแล้ว
ข้าฯรู้สึกแสนเศร้ารันทดนัก
เราสองล้วนร่วมชะตาร้ายคล้ายกันถูกทอดทิ้ง
แม้แรกพบปะจะนับเป็นเพื่อน ควรฤาถือสา !

ตัวข้าฯนี้ปีกลายถูกเนรเทศจากนครหลวง
มาพำนักพักนอนเจ็บที่สวินหยาง
สวินหยางถิ่นนี้ที่ไร้สีเสียงสุดกันดาร
ตราบจะหมดปีฤาห่อนมีดนตรีฟัง

อาศัยอยู่เผินเจียงที่ลุ่มแฉะ
พงแขมเหลืองขึ้น ไผ่ขมล้อม กระท่อมข้า ฯ
ตั้งแต่เช้าถึงค่ำได้ยินแต่เสียงนกดุเหว่าร้อง
กับชะนีที่โหยหวนครวญดังมา

วสันต์มาลีคลี่บานเบ่งจันทร์ศารทเปล่งในราตรี
ข้าฯนี้ต้องดื่มสุราแต่เดียวดาย
พอมีแต่เพลงพื้นเมืองกับขลุ่ยชาวบ้าน
พอถูไถให้ยินยลแก้ขัดสน

ราตรีนี้ข้า ฯ ได้สดับเพลงพิณไพเราะของนาง
ดังฟังเทพบรรเลงเพลงเสนาะแสน
ขอนางโปรดนั่งลงเล่นอีกสักเพลงเถิด
แล้วข้าฯจะแต่งบทกวี ลำนำพิณผีผา กำนัลนาง

พอได้ยินวาจาข้าฯ นางยืนนิ่ง
แล้วค่อยนั่งลงที่เดิมโอบพิณแล้วกรีดสาย
บรรเลงเพลงเย็นโศกไม่เหมือนเพลงก่อน
เบือนหลบซ่อนหน้าน้ำตาเอ่อล้นริน

ใครหนอให้ทุกข์ระทมถึงปานนี้?
เสื้อครามของซือหม่าแห่งเจียงโจวเปียกชุ่มอัสสุชล ฯ

มีผู้นิยมชมชอบบทกวีนี้มากนำไปแต่งเพิ่มเติมเป็นอุปรากรงิ้ว ละคร บทขับลำนำ ฯลฯจิตรกรหลายท่านมีจินตนาการ วาดเขียนเป็นภาพมามาย